กรมสุขภาพจิต เปิดประชุมระดับประเทศ ครั้งที่ 18 พบผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวน 51 ล้านคน เสี่ยงโรคซึมเศร้า เครียด แนวโน้มฆ่าตัวตายสูง สาเหตุมาจากปัญหาเทคโนโลยี สังคม และเศรษฐกิจ
24 ก.ค. 62 : นพ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการสุขภาพจิตนานาชาติ ครั้งที่ 18 ประจำปี 2562 เรื่อง โลกเปลี่ยนไป : มิติใหม่สุขภาพจิต (Mental Health in a Changing World : The New Challenges) และปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “โลกเปลี่ยนไป : มิติใหม่สุขภาพจิต” โดยมี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต และผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย บุคลากรทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนเครือข่ายระดับนานาชาติ จำนวน 1,200 คน เข้าร่วมในกิจกรรมครั้งนี้ ที่ศูนย์ประชุมนานาชาติเอ็มเพรส โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมเข้าถึงองค์ความรู้ที่ทันสมัยเหมาะกับสภาพการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต เกิดความร่วมมือ และเสริมสร้างแรงบันดาลใจต่อการทำงานด้านสุขภาพจิต ตลอดจนเพื่อสร้างเครือข่ายทางวิชาการระหว่างหน่วยงานทั้งภายในและภายนอกกรมสุขภาพจิต รูปแบบการประชุมประกอบด้วยการบรรยาย อภิปราย ประชุมเชิงปฏิบัติการ นำเสนอผลงานวิชาการ และนิทรรศการ
นพ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในโลกยุคปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี เทคโนโลยีได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตประจำวันอย่างไม่สามารถแยกออกจากชีวิตได้ การใช้ชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปใช้ชีวิตในโลกออนไลน์มากขึ้น ทั้งคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ จากข้อมูลสถิติการใช้อินเทอร์เน็ตของไทย จากจำนวนประชากร 69.24 ล้านคน พบว่า มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวน 57 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 82 มีผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวน 51 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 74 และมีผู้ใช้โซเชียลมีเดียผ่านมือถือ จำนวน 49 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 71 ตลอดจนใช้เวลาในการเข้าอินเทอร์เน็ตโดยเฉลี่ยต่อวัน คิดเป็น 9 ชั่วโมง 11 นาที และใช้เวลาในการเข้าโซเชียลมีเดียโดยเฉลี่ยต่อวัน คิดเป็น 3 ชั่วโมง 11 นาที ถึงแม้ว่าการใช้โซเชียลมีเดียจะมีประโยชน์ในการทำให้ผู้คนสามารถติดต่อกันง่ายขึ้น รับรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว แต่การใช้สื่อโซเชียลมีเดียติดต่อกันหลายชั่วโมงในแต่ละวัน อาจส่งผลกระทบทางลบต่อสุขภาพจิตในหลายด้าน เช่น การนอนหลับไม่ดี เกิดความวิตกกังวล และเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าได้ เป็นต้น
ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง คนบางกลุ่มสามารถปรับตัวเรียนรู้และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ในขณะเดียวกัน มีคนบางกลุ่มที่ไม่สามารถปรับตัว ซึ่งทางองค์การอนามัยโลก ได้แสดงความห่วงใยต่อสุขภาพจิตของผู้คนในยุคนี้อย่างมาก โดยให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชนเป็นพิเศษ และสภาพสังคมยุคไทยแลนด์ 4.0 พบว่า มีตัวแปรสำคัญ 5 ปัจจัย ที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น คือ
1. การเป็นสังคมผู้สูงอายุ 2. เด็กเกิดน้อย 3. วัยทำงานลดลง 4. การใช้โลกโซเชียลมากขึ้น เป็นสังคมก้มหน้า เด็กและวัยรุ่นติดเกม ผู้ใหญ่เครียด และ 5. การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ทำให้คนไทยมีความอดทนต่ำ และมีพฤติกรรมการเสพติดเพิ่มขึ้น เช่น ติดเกม ติดอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
กรมสุขภาพจิตเปิดช่องทางให้คำปรึกษาผ่านทางโทรศัพท์ ปีที่แล้วมีคนขอเข้ามาปรึกษา 8 แสนกว่าราย ทางกรมสุขภาพจิตบริการได้ 70,000 กว่าราย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของความเครียดในเรื่องทั่วไป ปัญหาครอบครัว การใช้ชีวิตประจำวัน การสื่อสารระหว่างกันและกัน เนื่องจากโลกเทคโนโลยีที่มันมาเร็ว พ่อแม่ไม่เข้าใจลูกที่ติดโซเชียลมากไป พ่อแม่ก็กังวลเกรงว่าลูกจะบริหารจัดการเวลาได้ไม่เหมาะสม เด็กที่ใช้เทคโนโลยีมากๆ ผลการเรียนก็ตกลงและถูกพ่อแม่ตำหนิก็ทำให้เกิดความเครียด
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ก็ได้ลงนามความร่วมมือกับบริษัทอูก้า และใช้แอพลิเคชั่นของบริษัทฯ มาให้คำปรึกษาด้านสุขภาพให้กับประชาชน และเป็นการสอดคล้องกับยุคปัจจุบันซึ่งปัญหาสุขภาพจิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะอัตราการฆ่าตัวตาย ก็คิดว่าน่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างปี พ.ศ. 2540 ที่มีปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ประเทศไทยมีผลกระทบ หลังจากนั้นปัญหาการฆ่าตัวตายก็มีมากขึ้น แต่ทางกรมสุขภาพจิต ทราบปัญหานี้ ก็ได้มีการคัดกรอง การให้คำปรึกษาในเรื่องนี้ ก็ทำให้ตัวเลขสถิติอัตราการฆ่าตัวตายภายใน 2 – 3 ปีนี้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย และคิดว่าปีนี้แนวโน้มก็น่าจะเพิ่มขึ้นอีก ก็พยายามหามาตรการต่างๆ ให้เข้าไปแก้ไขอยู่ และในการประชุมทางวิชาการวันนี้ ก็จะได้หาวิธีการใหม่ๆ ในการมาใช้แก้ปัญหา
กลุ่มอายุที่เข้ามาปรึกษามากที่สุดเป็นกลุ่มวัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ตอนต้นที่เข้าไปทำงาน และกลุ่มที่จะมากขึ้นมาก็เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ ก็จะถูกปล่อยให้อยู่โดดเดี่ยวเนื่องจากคนอื่นไปทำงานกันหมด ระบบราชการก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุเข้าไปมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมร่วมกับชุมชนมากขึ้น ซึ่งคนที่ไม่ได้เข้าไปก็อาจจะมีปัญหาบ้าง บางคนเกษียณไปแล้วไม่มีงานทำ อยู่บ้านเฉยๆ เห็นคุณค่าของชีวิตตนเองน้อยลง แต่ปัจจุบันผู้สูงอายุก็ติดต่อกับเพื่อนผ่านทางโลกโซเชียลได้ ซึ่งเทคโนโลยีไม่ใช่ไม่ดีทั้งหมด แต่ต้องใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสมก็จะช่วยได้
เรื่องมาใหม่
- SUN และ EXE มอบอาหารช่วยผู้ลี้ภัยชายแดนเมียนมา
- เอไอเอส จับมือ กสทช. ดูแลผู้พิการรอบด้าน ตอกย้ำดิจิทัลเป็นหัวใจการสร้างความเท่าเทียมแก่ทุกกลุ่ม
- อปท.ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน สร้างความรู้ความเข้าใจแนวทางปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการรับเงิน และการบริหารงานพัสดุ
- กั่นตอ (ขอขมา) รดน้ำดำหัวกำนันตำบลผาบ่อง ผู้นำชุมชน ทั้ง 12 หมู่บ้าน ของตำบลผาบ่อง เข้ากั่นตอ
- แม่สะเรียง ใช้วีธีไฟชนไฟแก้ปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง