วันเสาร์, 27 เมษายน 2567

ชาวแม่เหียะต้านเสาโทรศัพท์ หวั่นเป็นโรคมะเร็ง ด้าน กสทช.นำเอกสารองค์การอนามัยโลกยืนยันไม่เป็นอันตราย

01 ก.ค. 2019
1274
Social Share

ชาวแม่เหียะต้านเสาโทรศัพท์ หวั่นเป็นโรคมะเร็ง ด้าน กสทช.นำเอกสารองค์การอนามัยโลก มายืนยันไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตามที่ชาวบ้านหวั่นวิตก

เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 62 ที่ผ่านมา ได้มีกลุ่มชาวบ้านป่าจี้ หมู่ที่ 3 ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ได้มารวมตัวที่บริเวณจุดตั้งเสาทวนสัญญาณโทรศัพท์มือถือ และได้อ้างว่า ในห้วงที่ผ่านมามีชาวบ้านทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ รวมถึงผู้สูงอายุ ได้เริ่มมีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็ง และขณะนี้เสียชีวิตไปกว่า 10 ราย ตั้งแต่มีเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือมาตั้งกลางหมู่บ้าน และทราบว่าจะหมดสัญญาณในเดือนสิงหาคมนี้ พร้อมขอเรียกร้องให้เจ้าของที่ดินทำการย้ายเสาทวนสัญญาณโทรศัพท์ดังกล่าวออกนอกพื้นที่

ความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 1 ก.ค. 62 : ผู้เชี่ยวชาญองค์การอนามัยโลก (WHO) ส่งหนังสือแจ้งเลขาธิการ กสทช.ยืนยันผลการศึกษาระบุการปล่อยคลื่นความถี่โทรศัพท์มือถือจากเสาสัญญาณ ไม่กระทบสุขภาพ จากกรณีที่ กสชท.ได้ทำหนังสือเพื่อขอคำแนะนำจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในประเด็นที่ประชาชนยังคงวิตกกังวลการส่งสัญญาณคลื่นความถี่โทรศัพท์มือถือจากสถานีฐาน จะมีผลต่อสุขภาพร่างกาย

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (เลขาธิการ กสทช.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 13 พ.ย. ว่า ดร.อีมิลี ฟาน เดเวนเตอร์ หัวหน้าคณะรังสีวิทยา องค์การอนามัยโลก ทำหนังสือตอบกลับมาแล้วกรณีสำนักงานกสทช.ได้สอบถามในประเด็นความปลอดภัยจากคลื่นโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่งสัญญาณผ่านสถานีฐาน ดร.เดเวนเตอร์ ยืนยันผลการศึกษาช่วงระยะ 10 ปี ระหว่างปี 2539-2549 ระบุไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถชี้ได้ว่าการส่งสัญญาณในคลื่นความถี่ระหว่าง 0-300 กิกะเฮิรตซ์ จากสถานีฐานและการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่มีผลร้ายแรงต่อสุขภาพ

นายฐากร กล่าวว่า ดร.ฟาน เดเวนเตอร์ ยังระบุในจดหมายว่าในปี 2553 คณะนักวิทยาศาสตร์ขององค์การอนามัยโลก ได้ศึกษากรณีการส่งคลื่นสัญญาณเฉพาะโทรศัพท์เคลื่อนที่จากสถานีฐานก็ยังไม่พบหลักฐานว่าคลื่นความถี่มีผลต่อสุขภาพ หลังจากนั้นองค์การอนามัยโลกยังศึกษาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันถึงความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพร่างกายกับการปล่อยคลื่นความถี่จากอุปกรณ์ไร้สายและสถานีส่งสัญญาณคลื่นโทรศัพท์ ไม่พบว่ามีความสัมพันธ์ใดๆ อีกเช่นกัน ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกจะจัดประชุมในประเด็นคลื่นความถี่จากโทรศัพท์มือถือกับสุขภาพของผู้คนอีกครั้งในเดือนมิถุนายน ปีหน้าที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ องค์การอนามัยโลกเชิญตัวแทน กสทช.ไปร่วมประชุมด้วย

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2561 กสทช. ทำหนังสือไปยัง องค์กรอนามัยโลก (WHO) เพื่อขอคำแนะนำกรณีที่ประชาชนยังคงวิตกกังวลการส่งสัญญาณคลื่นความถี่โทรศัพท์มือถือจากสถานีฐานจะมีผลต่อสุขภาพร่างกาย

ก่อนหน้านี้ นายฐากร ได้ทำหนังสือไปยัง ดร.เดเวนเตอร์ ลงวันที่ 9 ต.ค. 2561 ขอคำแนะนำจากองค์การอนามัยโลกกรณีที่ประชาชนยังคงวิตกกังวลการส่งสัญญาณคลื่นความถี่โทรศัพท์มือถือจากสถานีฐานจะมีผลต่อสุขภาพร่างกาย แม้ว่ามีการเผยแพร่ข้อมูลผลการศึกษาทั้งจากองค์การอนามัยโลกและหน่วยงานเกี่ยวข้องกับคลื่นความถี่มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ยืนยันว่าไม่มีผลต่อสุขภาพ จึงเป็นที่มาของหนังสือตอบกลับจาก ดร.เดเวนเตอร์ ลงวันที่ 6 พ.ย. 2561

ในขณะเดียวกัน นายฐากรและผู้เชี่ยวชาญด้านคลื่นความถี่ของสำนักงาน กสทช. เดินทางเข้าร่วมการประชุมความร่วมมือระดับโลกว่าด้วยนโยบายด้านสุขภาพและการวิจัยเกี่ยวกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือกลอร์ (Global Coordination of Research and Health Policy on RF Electromagnetic Fields : G L O R E ) ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 12-14 พ.ย. 2561

นายฐากร ได้รายงานสภาพปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการขยายโครงข่ายโทรคมนาคมของประเทศไทยว่ามีปัญหาอุปสรรคอะไรบ้าง โดยเฉพาะความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสุขภาพจากการตั้งเสาสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ของประชาชนคนไทย อันเนื่องมาจากพัฒนาการที่รวดเร็วของการขยายโครงข่ายการใช้งานคลื่นความถี่แบบไร้สายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ การร้องเรียนเรื่องสุขภาพมีหลากหลายในแง่ของผลกระทบเช่น ปวดศีรษะ หน้ามืด อ่อนแรง หรือแม้แต่อ้างว่าเป็นมะเร็ง เป็นต้น ซึ่งการร้องเรียนต่างๆ เหล่านี้ส่งไปยังหลายหน่วยงานทั้งในระดับท้องถิ่น สื่อสาธารณะ หรือแม้แต่ศาลปกครอง

เลขาธิการ กสทช.กล่าวว่า สำนักงาน กสทช. ไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามหาวิธีแก้ไขป้องกันเพื่อให้ประชาชนปลอดภัย โดยสำนักงาน กสทช. ได้ออกประกาศในปี พ.ศ. 2549 เพื่อบังคับใช้มาตรฐานการส่งสัญญาณคลื่นความถี่ของ 1998 ICNIRP ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลในการกำกับการปล่อยคลื่นความถี่ รวมถึงจำกัดความแรงของคลื่นที่สถานีฐานปล่อยออกมา มาตรฐานอันนี้เป็นแนวทางที่หลายๆ ประเทศรวมถึงสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) และองค์กรอนามัยโลก เลือกใช้

เอกสารจาก ดร.อีมิลี ฟาน เดเวนเตอร์ หัวหน้าคณะรังสีวิทยา องค์การอนามัยโลก (WHO) ตอบกลับมายัง กสทช. เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561

นอกจากนี้ ทางสำนักงาน กสทช. มีทีมเจ้าหน้าที่ 25 เขต สุ่มตรวจสอบสถานีฐานทั่วประเทศว่าเป็นไปตามข้อกำหนดของหลักเกณฑ์ดังกล่าวหรือไม่ รวมถึงยังจัดการประชาสัมพันธ์และให้ความรู้แก่ประชาชนร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขในเรื่องของความปลอดภัยของการใช้งานคลื่นความถี่ และให้ทางผู้ประกอบการเอกชนสร้างความรู้และความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ที่มีการติดตั้งสถานีฐานอีกด้วย

“ถึงแม้ว่าทางสำนักงานจะใช้หลักมาตรฐานสากลในการควบคุมการปล่อยคลื่นความถี่ของสถานีฐานและการสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชน แต่ก็ยังพบข้อร้องเรียนในเรื่องดังกล่าวมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่ง กสทช. คิดว่าความกังวลของประชาชนในเรื่องนี้จะเป็นอุปสรรคสำคัญของประเทศในการเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลที่การใช้คลื่นความถี่ในการติดต่อสื่อสารของเทคโนโลยีนั้นมีแต่จะมากขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีใหม่ 5G ที่ต้องวางเสาสัญญาณมากกว่าเทคโนโลยี 3G และ 4G ที่ใช้ในปัจจุบัน” นายฐากร กล่าวในที่ประชุม

เลขาธิการ กสทช. กล่าวด้วยว่า ในการประชุม GLORE 2018 ทาง กสทช. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะให้ความช่วยเหลือในเรื่องของผลการศึกษาและหลักฐานรวมถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาความกังวลของประชาชนที่คิดว่าคลื่นความถี่มีอันตรายต่อสุขภาพที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่นี้

ทั้งนี้ ทางสำนักงาน กสทช. ได้เสนอต่อที่ประชุมของ GLORE ว่าจะเชิญผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลก สมาชิกของ GLORE ทั่วโลกเข้าที่ประชุมในประเทศไทย สำนักงาน กสทช.พร้อมจะเป็นเจ้าภาพและหารือในประเด็นต่างๆ เกี่ยวข้องระหว่างคลื่นความถี่กับสุขภาพร่างกาย

เอกสารจาก ดร.อีมิลี ฟาน เดเวนเตอร์ หัวหน้าคณะรังสีวิทยา องค์การอนามัยโลก (WHO) ตอบกลับมายัง กสทช. เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561