วันศุกร์, 19 เมษายน 2567

กงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ชี้สงครามไอที ทางอเมริกาทำผิดกฎการค้า และไม่เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย

24 พ.ค. 2019
541
Social Share

กงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ชี้สงครามไอที ทางอเมริกาทำผิดกฎการค้าไม่เคารพการแข่งขัน และไม่เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย ขณะที่เชื่อมั่นว่าจีนไม่ได้รับผลกระทบ การเติบโตทางเศรษฐกิจยังสูง

24 พ.ค. 62 : นายเหริน ยี่เซิง กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงกระแสเรื่องหัวเว่ย กับสหรัฐอเมริกาว่า สงครามการค้าระหว่างจีนกับอเมริกา ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่มโหราฬเลยทีเดียว และเป็นข้อตกลงที่ทางอเมริกาทำขึ้นมาเพื่อปกป้องตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีหัวเว่ย และโดรนอากาศยานไร้คนขับ เรียกได้ว่าเป็นสงครามเย็นทางเทคโนโลยี ทั้งหมดที่อเมริกาทำ ก็เพื่อปกป้องตนเอง ทางจีนมองว่า สงครามการค้าที่เกิดขึ้น ประโยชน์นั้นแทบไม่มีเลย แต่เกิดผลเสียมากกว่าด้วย

นอกจากทำให้ผู้อื่นรำคาญแล้ว ตนเองก็ไม่ได้รับผลดีอีกด้วย ซึ่งทางอเมริกา มีผู้ประกอบการประมาณ 170 รายไปขอให้รัฐบาลยกเลิกการขึ้นภาษี เพราะว่าบริษัทฯ เขาได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก

ผมก็เคยไปเรียนที่อเมริกา มา 6 ปี แล้วก็เรียนภาษาอังกฤษมา ก็ได้เรียนรู้วัฒนธรรมของอเมริกา ซึ่งเขาจะเน้นเรื่องการแข่งขันด้วยความยุติธรรม แต่สิ่งที่เขาทำมาตอนนี้ และสร้างกำแพงมาในตอนนี้ ถือว่าผิดหลักการตลาด เขาทำขึ้นมาเพราะยังไม่ชินกับการที่จีนพัฒนาเร็วเกินไป ตอนนี้จีนมี 13.7 ล้านล้านเสียง และนักวิชาการคาดการณ์ว่า ภายใน 10 ปี จีนมีสิทธิที่จะก้าวข้ามอเมริกาด้วย ก็มีท่านทูตจีนท่านหนึ่งก็เคยกล่าวว่า การแข่งขันระหว่างจีนกับอเมริกา เหมือนกับการแข่งขันกีฬาวิ่ง คือ ต้องแข่งขันด้วยความเป็นมิตรภาพไม่ใช่กีดกัน และใส่ร้ายกัน ถือว่าผิดกฎใหญ่ของการแข่งขัน

กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนาเศรษฐกิจของจีนมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในอนาคต ไม่ว่าทางอเมริกาจะกีดกันหรือกดดันอย่างไร ค่า GDP ก็เพิ่มขึ้น อยู่ที่ 6.0 – 6.5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี และเทคโนโลยีของหัวเว่ย 5G เราก็นำบริษัทฯ ของเขา 2 – 3 แห่งในด้านเทคโนโลยี 5G

สำหรับข่าวสารที่บอกว่าทางอเมริกาจะยกเลิกการส่งไมโครซิม (Micro Sim) ให้กับทางหัวเว่ย ยังเป็นแค่ข่าวลือ เพราะตอนนี้ยังร่วมมือกันอยู่

ทางจีนนั้นมีการค้าภายในประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ และเรื่องการนำเข้ามีเพียง 17 เปอร์เซ็นต์ ถ้าหากทางจีนลดการส่งออก ที่จริงก็ไม่ได้สำคัญมากต่อความต้องการภายในของประเทศ

ขณะที่ทางกระทรวงพาณิชย์ของไทย ก็เคยออกมาบอกว่า ภายใต้ภาวะสงคราม ทำให้ราคาน้ำมันลดลง ความสามารถทางการบริโภคของลูกค้าลดลง ประเทศไทยอาจจะมีการนำเข้าสูง อาจจะมีการนำเข้าลดลง

ความร่วมมือจีนและอาเซียน ก็พัฒนามาโดยตลอด อย่างปี 2018 มีมูลค่าทางการค้ามากถึง 587,870 ล้านเหรียญ ในปี 2030 ก็พยายามจะลดเรื่องของกลุ่มอนุรักษ์นิยม และพยายามจะเชื่อมต่อข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน ภายใต้กรอบระหว่างจีนและอาเซียน ทั้งโครงสร้างพื้นฐานและประชาชน รวมถึงด้านต่างๆ โดยจะเน้นเชื่อมโยงทางระบบโลจิสติกส์ ทางด้านการค้า พลังงาน การศึกษา และวัฒนธรรม ซึ่งในปี 2019 ก็จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น